ความพ่ายแพ้ต่อหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในยุโรป ถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องน่าอายแต่อย่างใด เมื่อมองทั้งตำแหน่งของทีมในปัจจุบัน, ความสามารถของนักเตะ รวมถึงประสบการณ์ที่โชกโชน ซึ่งมันอยากที่จะเกิดขึ้นเหมือนกับเกมที่ ดิดิเยร์ ดร็อกบา สวมบทพระเอกเมื่อในอดีต
บาเยิร์น มิวนิค แสดงความเหนือชั้นได้ตั้งแต่เกมแรกที่เผชิญหน้ากับ เชลซี ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกแรก ตั้งแต่ก่อนไวรัสโควิด-19 ระบาด เมื่อบุกมาเอาชนะได้ถึงสแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยสกอร์ 3-0 ทั้งที่มีแฟนบอลเจ้าบ้านเต็มสนาม ยิ่งผลงานของทีมจากแคว้นบาวาเรียที่เดินหน้าถล่มแหลก และเอาชนะคู่แข่งได้เกือบๆ 20 เกมติดต่อกันรวมทุกรายการ ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา และเดเอฟเบ โพคาล ในฤดูกาล 2019-20 ไปได้สำเร็จ
แน่นอนหากวัดกับศักยภาพโดยรวมของทั้งสองทีม ถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าอายใดๆ เมื่อผลที่ออกมาก็เป็นที่คาดการณ์อยู่แล้ว หลังลูกทีมของแฟร้งค์ แลมพาร์ด มีปัญหาอย่างชัดเจน สำหรับเกมรับ เมื่อกลายเป็นทีมที่เสียประตูมากที่สุดใน 10 อันดับแรกของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมา และยิ่งต้องมาเจอกับทีมระดับพระกาฬ ถล่มประตูกระจายแบบนี้
มัตเตโอ โควาซิช อาจจะเป็นนักเตะของสิงห์บลูที่เล่นได้ดีที่สุดในเลกแรกที่เจอกัน แต่ก็แทบนับจำนวนวินาทีได้เลยกับโอกาสในการครองบอลในเลกสอง เมื่อนักเตะจากทีมเยอรมันพยายามวิ่งไล่เพรสซิ่งบอลตลอดเวลาที่คู่แข่งได้บอล และผลออกมาก็เป็นความผิดพลาดที่เสียประตูที่สอง และยิ่งกองกลาง กับกองหลังไม่ได้มีการเชื่อมโยงประสานงานได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นทุนเดิม จึงเป็นเหตุผลที่ออกมาด้วยสกอร์เละเทะ 7-1 หากนับสกอร์ของสองเลก
กับสิ่งที่น่าประทับใจในเกมนี้ ยังมีหลายจังหวะที่ลูกทีมของแลมพาร์ดทำออกมาได้ดี ทั้งโอกาสทำประตูของเมสัน เมาท์ และรอสส์ บาร์คลีย์ รวมถึงลูกเปิดที่ยอดเยี่ยมของเอเมอร์สัน พัลเมรี่ ก่อนที่แทมมี่ อับราฮัมจะทำประตูตีไข่แตกกู้หน้าให้กับทีมได้
แม้สกอร์ที่ออกมาจะดูโหดร้ายไปสักหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องของสภาพจิตใจที่แลมพาร์ดจะต้องสร้างขึ้นมาใหม่ กับทีมชุดใหม่ที่มีนักเตะดาวรุ่งหลายราย และอาจจะมีนักเตะหน้าใหม่หลายคนในฤดูกาลหน้า เมื่อมองถึงแผนการทำทีมที่ทำออกมาได้ดีกว่าที่คาด หลังพาทีมได้ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้า เมื่อมองดูภาพโดยรวมก็เป็นเป้าหมายที่มาไกลสำหรับทีม หากมองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ซัมเมอร์ที่แล้ว เมื่อไม่สามารถเซ็นสัญญานักเตะใหม่มาร่วมทีมได้