เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์ทีมชาติเบลเยียม ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทำสถติเป็นนักเตะที่ครองบอลมากที่สุดในลีกฤดูกาลนี้ และมันไม่ไม่แปลกใจเลยที่ จอมทัพ “เรือใบสีฟ้า” จะเป็น 1 ใน 5 นักเตะที่ได้ลุ้นรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีร่วมกับบรรดาดาวเตะของ ลิเวอร์พูล ว่าที่แชมป์ลีก
เดอ บรอยน์ จะได้ลุ้นรางวัลดังกล่าวร่วมกับนักเตะ ลิเวอร์พูล อย่าง ซาดิโอ มาเน่ ปีกทีมชาติเซนัล, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กองกลางทีมชาติอังกฤษ และ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ แต่ที่เหลืออีก 1 โควต้า คาดว่า เป็น 1 เดียวจากทีม “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้ นั่นก็คือ ริคาร์โด้ เปเรยร่า แบ็คขวาทีมชาติโปรตุเกส
เปเรยร่า ไม่ได้เป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงดึงดูดอย่าง เดอ บรอยน์, ฟาน ไดจค์, มาเน่, เฮนเดอร์สัน หรือแม้แต่เพื่อนร่วมทีม เลสเตอร์ คนอื่นๆอย่าง เจมส์ เมดดิสัน กองกลางดาวรุ่ง และเจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกจอมเก๋า แต่แต่สถิติไม่ได้โกหกใครว่า แบ็คเลือดฝอยทองรายนี้ เป็นหนึ่งในนักเตะชั้นนำของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ และมันก็เป็นเรื่องเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว
จากสถิติย้อนหลังใน โปรแกรมบอลเมื่อคืน ย้อนกลับไปในเกมลีกที่ เลสเตอร์ เปิดรัง คิงพาเวอร์ สเตเดี้ยม พ่ายให้กับ แมนฯซิตี้ ไปแบบหวุดหวิด 0-1 นั้น เปเรยร่า ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่ใช้เงินมหาศาลถึง 200 ล้านปอนด์ ตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา เพื่อซื้อฟูลแบ็ค และ แบ็คขวาโปรตุกีส ก็ทำให้ เปป กวาร์ดิโอล่า กุนซือชาวสเปนของ “เรือใบสีฟ้า ต้องรู้สึกอิจฉาที่ “สุนัขจิ้งจอก” มีนักเตะที่ยอดเยี่ยมแบบเขา
เลสเตอร์ จ่ายเงิน 22 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว เปเรยร่า จากเอฟซี ปอร์โต ทีมดังในลีกแดนฝอยทอง เมื่อ 2 ซีซั่นที่ผ่านมา และนับตั้งแต่อนนั้นจนถึงเวลานี้ เขาได้ลงสนามให้กับ “สุนัขจิ้งจอก” มากกว่าเพื่อนร่วมทีมทุกคน ยกเว้นเพียงแค่ แคสเปร์ ชไมเคิ่ล นายทวารทีมชาติเดนมาร์ก เท่านั้น
เปเรยร่า เป็นนักเตะคนสำคัญของ เลสเตอร์ ตั้งแต่ในสมัยของ โคล้ด ปูแอล อดีตเทรนเนอร์ชาวฝรั่งเศส มาจนถึงยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมชาวไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งทำหน้าที่คุมทัพ “สุนัขจิ้งจอก” ในปัจจุบัน
อดีตแข้ง ปอร์โต้ เป็นฟูลแบ็คสมัยใหม่ที่มีการเติมเกมรุกอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเร็ว เทคนิคดี และยังมีการเล่นเกมรับที่แข็งแกร่งอีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มันจึงทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ เลสเตอร์ จะขาดไปไม่ได้เสียแล้ว
ย้อนกลับไปในเกมลีกที่ เลสเตอร์ เปิดรัง คิงพาเวอร์ สเตเดี้ยม ถล่ม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 4-1 เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมานั้น เดวิด มอยส์ กุนซือ “ขุนค้อน” ใช้แบ็คซ้าย 2 คน คือ อาเธอร์ มาซูอากู กับ แอรอน เครสเวลล์ เพื่อเผชิญหน้ากับ เปเรยร่า แต่ในท้ายที่สุด เวสต์แฮม ก็ไม่สามารถหยุดความร้อนแรงของ ดาวเตะโปรตุกา ได้ หลังจากที่เขาโชว์ฟอร์สุดยอดด้วยการซัดไป 1 ประตู กับทำอีก 1 แอสซิสต์
นั้บตั้งแต่ย้ายจาก ปอร์โต้ มาเล่นกับ เลสเตอร์ เมื่อซัมเมอร์ปี 2018 นั้น เปเรยร่า ซัดในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 5 ประตู และทำไปอีก 8 แอสซิสต์ ซึ่งมันกองหลังเพียง 2 รายที่ทำสถิติได้ดีกว่าเขานั่นก็คือ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์ และแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน 2 ฟูลแบ็คตัวเก่งของ ลิเวอร์พูล และดาวเตะ “หงส์แดง” ทั้ง 2 ราย น่าจะมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีอย่างแน่นอน
เปเรยร่า เป็นฝันร้ายสำหรับกองหลังฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เพียง เพราะชาญฉลาดในการเล่นของเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันเป็นเพราะความเร็ว และความสามารถของเขา และในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา เขาเป็นนักเตะตำแหน่งกองหลังในพรีเมียร์ลีกที่เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งได้มากที่สุดโดยมี แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ แบ็คขาวไอริช ของ วูล์ฟแฮมป์ตัน ตามมาเป็นอันดับ 2
การเติมไปเล่นเกมรุกอยู่เป็นประจำนั้น สามารถปล่อยให้แนวรับเกิดช่องว่างได้ แต่สิ่งที่ทำให้ เปเรยร่า ทำคือ เขาแทบไม่ปล่อยให้เกิดช่องโหว่ตรงนั้น เนื่องจากเขาลงมาช่วยเกมรับได้ทันเวลาอยู่เสมอ ซึ่งเห็นได้จากการที่ เลสเตอร์ เป็นหนึ่งในสถิติการป้องกันที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ โดยมี เพียงลิเวอร์พูล เท่านั้นที่สามารถเก็บคลีนชีตได้มากกว่าพวกเขา
นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม เลสเตอร์ นั้น เปเรยร่า มีเกมการเล่นเกมรับที่แข็งแกร่งมาก โดย ปูแอล เคยกล่าวไว้ว่า มันยากมสากที่คู่แข่งจะเอาชนะการดวลตัวต่อตัวกับกองหลังชาวโปรตุเกส และสถิติในฤดูกาลนี้ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างดีหลังจากที่ เขามีสถิติเป็นอันดับ 1 ในการเข้าสกัดบอลจากคู่ต่อสู้
เปเรยร่า ยังคงยอดเยี่ยมอยู่เสมอเมื่อบุกไปข้างหน้า และยอดเยี่ยมเช่นกันเมื่อเล่นเกมรับ โดยนับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลจนถึงตอนนี้ อดีตแข้ง ปอร์โต้ มีสถิติเป็นอันดับที่ 3 ในการชิงตัดบอลจากคู่แข่งเป็นรองแค่ อารอน วาน-บิสซาก้า แบ็คขวาดาวรุ่งของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แยน เบดนาเร็ค กองหลัง “นักบุญ”1เซาแธมป์ตัน เท่านั้น
ฟูลแบ็คเลือดฝอยทอง เป็นนักเตะที่เหมาะอย่างยิ่งกับทีมที่มีสไตล์เล่นเกมเพรสซิ่งสูง ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของ เลสเตอร์ ในยุค ร็อดเจอร์ส โดยดาวเตะวัย 26 ปี สามารถไล่บีบเกมได้ตั้งแต่แดนของคู๋แข่ง และหาจังหวะเปิดเกมรุกได้ทันทีเมื่อได้บอลมาครอง
คุณสมบัติของ เปเรยร่า นั้นชัดเจนสำหรับทุกคนที่ เลสเตอร์ เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลเมื่อปีที่แล้ว และน่าจะได้ลุ้นรางวังดังกล่าวอีกครั้งในฤดูกาลนี้ด้วย แต่ยังมีความรู้สึกว่า เขาไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางถึงความสามารถของเขาที่สมควรได้รับ ซึ่งเห็นได้จากการที่เขาถูกเรียกตัวไปรับใช้ทีมชาติโปรตุเกสเพียงแค่ 7 เกมเท่านั้น
ในเกมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้ เลสเตอร์ จะต้องพ่ายแพ้ให้กับ “เรือใบสีฟ้า” แต่ เปเรยร่า มีโอกาสอีกครั้งที่จะแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า ทำไมเขาถึงอยู่ในระดับสูงสุด และทำไม “สุนัขจิ้งจอก” ถึงมีความสุขที่มีเขาอยู่ในทีม